YPF Model


บทบาทครู

·     วางแผน  
  
    1. แผนการจัดการเรียนรู้  
   
    2. สื่อ นวัตกรรม สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้  
 
    3. เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้

แผนการจัดการเรียนรู้


      1. กำหนดวัตถุประสงค์


               1.1 ความรู้


               1.2 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์


               1.3 จิตวิทยาศาสตร์

          2. กิจกรรม/ภาระงาน


               2.1 กิจกรรมเพื่อให้รู้จุดประสงค์การเรียนรู้

              
           2.2 เสาะหาหรือสืบค้นเพื่อบรรลุกิจกรรม
             
                2.3 นาเสนอ และ วิพากษ์

         3. วัดผล
             
               3.1 ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน
             
               3.2 ประเมินตนเองในความรู้ กระบวนการและ

          4.จิตวิทยาศาสตร์            

               4.1 การตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง

บทบาทนักเรียน




1. การสอนโดยตรง

1. นำเข้าสู่บทเรียน

ความหมายของคำว่า นำ” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 หมายถึง เริ่มต้นโดยมีผู้อื่นหรือสิ่งอื่นตาม ฉะนั้น คำว่า นำเข้าสู่” ก็เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนคำว่า บทเรียน” หมายถึง คำสอนที่กำหนดให้เรียน (ราชบัณฑิตยสถาน2546: 578,602) ฉะนั้น ตามรูปศัพท์ การนำเข้าสู่บทเรียน” หมายถึง การเริ่มต้นเพื่อไปสู่เนื้อหาสาระหรือคำสอนที่กำหนดให้เรียน
                อรภัทร สิทธิรักษ์ (2540: 121) อธิบายว่า การนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การจัดกิจกรรมก่อนเริ่มสอนเนื้อหาในทุกวิชา เพื่อเป็นการเตรียมนักเรียนให้รู้ว่ากำลังเรียนเรื่องอะไร โดยนำเอาความรู้และทักษะที่นักเรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนที่ครูสอน ซึ่งจะทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้ชัดเจนขึ้น
            ชมนาท รัตนมณี (2541: 320) กล่าวว่า การนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง กิจกรรมที่จัดขึ้นเมื่อครูจะเริ่มสอน หรือจะทำกิจกรรมใดๆ เพื่อเป็นการเตรียมให้นักเรียนเกิดความสนใจ พร้อมที่จะติดตามบทเรียนต่อไป และรู้ว่าจะเรียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำให้มีทำให้มีจุดมุ่งหมายการเรียนชัดเจนยิ่งขึ้น
            ศักดิ์ศรี ปาณะกุล และคณะ (2549: 167) อธิบายว่า การนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การกระตุ้นและเร้าความสนใจของนักเรียนให้มีต่อบทเรียน ทำให้นักเรียนมีความพร้อมและ ความกระตือรือร้นที่จะเรียน นักเรียนรู้ว่าจะเรียนเรื่องอะไร โดยที่ครูไม่ต้องบอกโดยตรง และนักเรียนยังสามารถนำความรู้เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนใหม่ได้อย่างถูกต้อง
            สุวรรณี ศรีคุณ 2527 :187 กล่าวว่า ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง ทักษะที่ครูใช้ในการจัดกิจกรรมก่อนเริ่มสอนเนื้อหาในทุกวิชา เพื่อเป็นการเตรียมนักเรียนให้มีความคิดว่ากำลังเรียนเรื่องอะไร สามารถนำเอาความรู้และทักษะที่นักเรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนที่ครูสอนได้ นอกจากนี้ยังทำให้นักเรียนเข้าใจความมุ่งหมายของบทเรียนได้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยมากครูจะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที สำหรับนำเข้าสู่บทเรียน
             สรุปได้ว่า การนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การเตรียมตัวนักเรียนก่อนเริ่มเรียน และก่อนที่ครูจะสอนเนื้อหาทุกวิชา เพื่อเป็นการเตรียมนักเรียนให้รู้ว่ากำลังเรียนเรื่องอะไร สามารถนำเอาความรู้และทักษะที่นักเรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนที่ครูกำลังจะสอนได้ ซึ่งทำได้โดยการหากิจกรรมที่เร้าความสนใจของนักเรียนแล้วเชื่อมโยงไปสู่บทเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น

          2. การสอน

การสอน หมายถึง การถ่ายทอดเนื้อหาวิชา โดยใช้วิธีการบอกให้     ทำให้จำ ให้จด ให้นำไปท่องจำ เพื่อสอบต่อไป แต่ในแวดวงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจะเข้าใจว่าการสอนมิได้หมายถึง วิธีการบอกให้ทำ ให้จำ ให้จด แต่เพียงอย่างเดียว การสอมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น กล่าวคือ วิธีการใดก็ตามที่ครูนำมาใช้เพื่อให้นกเรียนเกิดการเรียนรู้ เรียกได้ว่าเป็นการสอนทั้งสิ้น

นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการสอน ไว้หลายทรรศนะ ดังนี้
สุมน อมรวิวัฒน์ (2533 : 460) อธิบายความหมายของการสอนได้ว่า การสอน คือ สถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีสิ่งต่อไปนี้เกิดขึ้น ได้แก่  มีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับนักเรียนนักเรียนกับสิ่งแวดล้อม และครูกับนักเรียนกับสิ่งแวดล้อม  ความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์นั้นก่อให้เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ใหม่นั้นไปใช้ได้
สุพิน   บุญชูวงศ์ (2533 : 3 – 4)  ให้ความหมายของการสอนไว้ว่า การสอน คือ การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้นักเรียนได้ปะทะเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น การสอนจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่จะทำให้เกิดความเจริญงอกงาม การสอนจึงเป็นภารกิจที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงจะสามารถก่อให้เกิดประสบการณ์ที่มีความหมายต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักเรียน
          ลำพอง บุญช่วย (2530 : 8-9) กล่าวถึงการสอนว่า เป็นกระบวนการที่มีความสลับซับซ้อนต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ อาศัยศาสตร์ก็ตรงที่ผู้สอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับหลักการสอน และผู้ที่มีศิลปะหรือมีกลวิธี มีเทคนิคในด้านต่างๆอีกมากมาย
          Moore Kenneth D. (1992 : 4) ให้ความหมายของการสอนไว้ว่า การสอน คือ พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งที่พยายามช่วยให้บุคคลหนึ่งได้เกิดการพัฒนาตนในทุกด้านอย่างเต็มศักยภาพ
ฮิลส์ (Hills. 1982 : 266)  ให้คำจำกัดความของการสอนไว้ว่า การสอน คือ กระบวนการให้การศึกษาแก่นักเรียน ซึ่งต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน

          3. สรุป

          การสรุปบทเรียน หมายถึง การที่ครูพยายามให้นักเรียนสามารถรวมความคิด ความเข้าใจของตนเองไดถูกต้องซึ่งเป็นการรวบหรือสรุปหลักเกณฑ์หรือข้อเท็จจริงหรือแนวความคิดที่สำคัญๆ จากประสบการณในการเรียนการสอนแต่ละครั้ง นักเรียนจะจับจุดสำคัญๆ ของบทเรียนไดถูกต้องรูวากำลังเรียนอะไรและจะนำความรูใหม่ไปสัมพันธ์กับความรูเดิมไดอย่างไร นักเรียนจะเรียนบทเรียนใหม่เข้าใจรวดเร็วยิ่งขึ้น ( อัญชลี แจมเจริญ และคณะ,2526 : 145 )
          ซิวหงษ บุตรลับ (2523 :122)  ไดให้ความหมาย ของการสรุปว่าเป็นการสรุปวัตถุประสงค์ของการสอน การย่อประเด็นสำคัญของเนื้อหาและการระบุคุณค่าของกิจกรรมที่ไดกระทำลงไป
            สงัด อุทรานันท ( 2528 : 135) ไดกล่าว ถึงการสรุปในทฤษฎีการเรียนรูของฮัลล
 ( Hull’s Reinforcement Theory) วา เป็นการกระทำอันสุดท้ายของการเรียน การกระทำนี้มีความเข้มมากกว่าการกระทำในอันดับแรก ๆ อีกด้วย
        วิชัย ดิสสระ ( 2519 : 82) ไดกล่าว ถึงการสรุปว่าเป็นการรวบใจความสำคัญ ๆ ของเนื้อเรื่องซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของบทเรียนไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนไดอย่างถูกต้องและบริบูรณ์
          มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2532 : 191 ) กล่าวว่า การสรุปบทเรียนเป็นการสรุปสาระสำคัญของบทเรียน เพื่อให้รูวานักเรียนกำลังเรียนอะไร และจะนำความรูใหม่นี้ไปสัมพันธ์กับความรูเดิมไดอย่างไร เพื่อนักเรียนสามารถเรียนบทเรียนใหม่ไดต่อเนื่องและเขาใจความสัมพันธ์
ระหว่างบทเรียนใหม่กับบทเรียนเก่าได้รวดเร็ว
          สรุปไดวา การสรุป คือการรวบรวมความคิดรวบยอดของเนื้อเรื่องหรือใจความสำคัญของเนื้อเรื่องที่เรียนผ่านไปแล้วให้เห็นเนื้อหาที่กะทัดรัดที่สุด และยังคงประสิทธิภาพในการสื่อความหมายเพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อเรื่องได้อย่างถูกต้อง
  2. การสอนแบบสร้างความรู้ด้วยตนเอง
          1. Explore คือ การสำรวจตรวจค้น ในขั้นตอนนี้บุคคลจะเริ่มสำรวจตรวจค้นหรือพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่(assimilation) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้พบหรือ ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ไม่มีอยู่ในสมองของตน ก็จะพยายามรับหรือดูดซึมเก็บเข้าไปเป็นความรู้ใหม่ พฤติกรรมเหล่านี้หลายท่านอาจจะเคยสัมผัสด้วยตนเองหรือเคยสังเกตเห็นจากการเข้าร่วมกิจกรรมการต่อเลโก้ โลโก้ จะเห็นว่าในวันแรกที่ได้พบกับอุปกรณ์ที่เป็นตัวต่อ หลายๆคนที่ไม่มีประสบการณ์เลยอาจจะเริ่มจากสำรวจชิ้นส่วนต่างๆว่ามีอะไรบ้างและแต่ละตัวใช้ทำงานอะไร หรือนั่งมองคนอื่นๆต่อไปก่อน อาจจะสอบถามจากเพื่อนที่นั่งใกล้ๆ หรือบางคนอาจจะดูจากคู่มือที่มีอยู่เพื่อพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่นั้น
          2. Experiment คือ การทดลอง ในขั้นตอนนี้จะเป็นการทดลองทำภายหลังจากที่มีการสำรวจไปแล้ว เป็นการปรับความแตกต่าง (acommodation) เมื่อได้พบหรือปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่สัมพันธ์กับความคิดเดิมที่มีอยู่ในสมอง นั่นหมายความว่าเริ่มจะปรับความแตกต่างระหว่างของใหม่กับของเดิมจนเกิดความเข้าใจว่าควรจะทำอย่างไรกับสิ่งใหม่นี้ เช่น ในการต่อ
เลโก้ 
โลโก้ หลังจากที่สำรวจชิ้นส่วนต่างๆและเก็บเป็นความรู้ไว้ในสมองแล้ว ต่อไปอาจจะเป็นการทดลองสร้างโดยอาจจะสร้างตามตัวอย่างในคู่มือ หรืออาจจะทดลองต่อเป็นชิ้นงานที่ตนเองอยากจะทำ หรืออาจจะทดลองต่อตามเพื่อนๆก็ได้ แต่บางคนก็พยายามที่จะปรับตนเองโดยการสอบถามเพื่อนที่สามารถทำได้(ซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ทราบว่าคนเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญอย่างหนึ่งและการแสวงหาความรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว) ในขั้นตอนนี้อาจจะมีลองผิดลองถูกบ้างเพื่อจะเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์และสร้างเป็นองค์ความรู้เก็บไว้ในสมองของตนเอง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม (assimilation) และ การปรับความแตกต่าง (acommodation) ผสมผสานกันไป

           3. Learning by doing คือ การเรียนรู้จากการกระทำ ขั้นนี้เป็นการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีความหมายต่อตนเอง แล้วสร้างเป็นองค์ความรู้ของตนเองขึ้นมา ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับขั้นตอนที่ผ่านมา ขั้นนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม(assimilation)และการปรับความแตกต่าง (acommodation) ผสมผสานกันไป
          4. Doing by learning คือ การทำเพื่อที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ ขั้นตอนนี้จะต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 3 จนประจักษ์แก่ใจตนเองว่าการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีความหมายนั้น สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ได้และเมื่อเข้าใจแล้วก็จะเกิดพฤติกรรมในการเรียนรู้ที่ดี รู้จักคิดแก้ปัญหา รู้จักการแสวงหาความรู้ การปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ฯลฯ นั่นก็คือเกิดภาวะที่เรียกว่า"Powerfull learning" ซึ่งก็คือเกิดการเรียนรู้ที่จะดูดซึม(assimilation) และ การปรับความแตกต่าง (acommodation) อยู่ตลอดเวลาอันจะนำไปสู่คำกล่าวที่ว่า"คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น" นั่นเอง

3. หลักการแนวคิดรูปแบบการสอน (การจัดการเรียนรู้)

ที่
รูปแบบการสอน
ขั้นตอนการสอน
1
Constructionism
1. Explore  
    การสำรวจตรวจค้น ในขั้นตอนนี้บุคคลจะเริ่มสำรวจตรวจค้นหรือพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ (assimilation) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้พบหรือ ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ไม่มีอยู่ในสมองของตน ก็จะพยายามรับหรือดูดซึมเก็บเข้าไปเป็นความรู้ใหม่
2. Experiment
   การทดลอง ในขั้นตอนนี้จะเป็นการทดลองทำภายหลังจากที่มีการสำรวจไปแล้ว เป็นการปรับ
ความแตกต่าง(accommodation) เมื่อได้พบหรือปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่สัมพันธ์กับความคิดเดิมที่มีอยู่ในสมอง นั่นหมายความว่าเริ่มจะปรับความแตกต่างระหว่างของใหม่กับของเดิมจนเกิดความเข้าใจว่าควรจะทำอย่างไรกับสิ่งใหม่นี้
3. Learning by doing  
    การเรียนรู้จากการกระทำ ขั้นนี้เป็นการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีความหมายต่อตนเอง แล้วสร้างเป็นองค์ความรู้ของตนเองขึ้นมา ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับขั้นตอนที่ผ่านมา ขั้นนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม (assimilation) และ การปรับความแตกต่าง(acommodation) ผสมผสานกันไป
2
Biggs 3P Model
1. ครูนำ เสนอบทเรียนในขั้นนำ เสนอ(P1 = Presentation)โดยนำ เสนอเป็นรูปประโยคที่ใช้ในการสื่อสาร (Whole Language) ไม่แยกสอนเป็นคำ ๆ นักเรียนจะเข้าใจภาษานั้นโดยภาพรวม หลีกเลี่ยงการแปลคำ ต่อคำ การนำ เสนอต้องชัดเจน และตรวจสอบจนแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจสิ่งที่ครูนำ เสนอนั้น
2. ครูใช้กิจกรรมในขั้นฝึก (P2=Practice) อย่างหลากหลาย โดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ฝึกหัดและพูดในกลุ่มใหญ่ (Whole Group)ก่อน เพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจในการใช้ภาษา ฝึกกลุ่มย่อยโดยใช้
การฝึกลูกโซ(Chain Drill) เพื่อให้โอกาสนักเรียนได้สื่อสารทุกคน ฝึกคู่ (Pair Work) เปลี่ยนกันถาม-ตอบ เพื่อสื่อสารตามธรรมชาติแล้วจึงให้นักเรียนฝึกเดี่ยว (Individual) โดยฝึกพูดกับครูทีละคน การฝึกเดี๋ยวนี้ครูจะเลือกนักเรียนเพียง 2-3 คน เพื่อทำ เป็นตัวอย่างในแต่ละครั้ง กิจกรรมขั้นนี้ใช้เวลา แต่นักเรียนจะได้ปฏิบัติจริง ครูเพียงแต่คอยกำ กับดูแลให้การฝึกดำ เนินไปอย่างมีความหมายและสนุก
 3. กิจกรรมขั้นนำ เสนอผลงาP3 (Production) เป็นขั้นที่นักเรียนจะนำ ภาษาไปใช้ ครูอาจจะให้ทำ แบบฝึกหัด อ่านและเขียนร้องเพลงหรือเล่นเกม ที่สืบเนื่องและเกี่ยวข้องกับภาษาที่เรียนมาในขั้นที่ 1 และ 2 อาจให้ทำ งานเป็นการบ้านหรือสร้างสรรค์ผลงาน
3
Su learning Model
1. ผู้เรียนกำหนดกรอบวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของตนเอง ด้วยการระบุ ความรู้และการปฏิบัติโดยระบุความรู้ ในรูปของสารสนเทศหรือdeclarative knowledge และระบุทักษะ การปฏิบัติ(โครงงาน งานภาระงาน)
กลยุทธ์ ทักษะ หรือกระบวนการ หรือprocedural knowledge และคุณลักษณะอันพึงประสงค์

2. ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้ และระบุเกณฑ์คุณภาพวัตถุประสงค์การเรียนรู้เป็นค่าระดับตามโครงสร้างการสังเกตผลการเรียนรู้ (structure of observed learning out-comes:
 SOLO Taxonomy
กรณีที่วัตถุประสงค์เป็นความรู้ความเข้าใจ จะระบุเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน(collaborative learning)
หรือการเรียนรู้แบบนำตนเอง(self-directed learning)โดยคำนึงถึงความมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ ถ้าผู้เรียนต้องการการเรียนรู้แบบการมีความคิดวิจารณญาณ จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน(cooperative learning) มีการอภิปรายเรื่องราวที่เรียนรู้ กลยุทธการเรียนรู้แบบท างานเป็นทีม หรือกลยุทธการเรียนรู้เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์
4
DRU  Model
1. P= Planning การวางแผน
   D = Design การออกแบบและการพัฒนา
   C = Cognitive network 
ความรู้ความกระจ่างชัด
    A = Affective network
การเรียนรู้จากเพื่อนร่วม วิชาชีพ

2. C= Cognitive network  ความรู้ความกระจ่างชัด
L = Learning การเรียนรู้
 M = Management 
การจัดการ,การควบคุม
   S = Strategic network 
 (กลวิธี)
3. A = Assessment
(การประเมินค่า)
    S = Strategic network  (กลวิธี)
    A = Affective network
 (การเรียนรู้จากเพื่อนร่วม
  วิชาชีพ)
   E = Evaluation  
    (การประเมินผล)
5
YPF  Model
กำหนดจุดประสงค์
- ความรู้
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จิตวิทยาศาสตร์
กิจกรรมภาระงาน
- กิจกรรมเพื่อให้รู้จุดประสงค์การเรียนรู้
   - เสาะหาหรือสืบค้นเพื่อบรรลุกิจกรรม
    นำเสนอ และ วิพากษ์
วัดผล
- ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน
    ประเมินตนเองในความรู้ กระบวนการและจิตวิทยาศาสตร์
    - การตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง


4. เปรียบเทียบ


รูปแบบการสอนแบบเดิม (9-20.ค 60)
Model  YPF
ขั้นนำ
- ทบทวนความรู้เดิม
- ยกตัวอย่างประสบการณ์ รอบๆตัว
- Power point
- ใช้คำถาม
- วิดีโอ
- เพลง เต้น ร้องเพลง
- กิจกรรม เกม
Y= Your Identify
-ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาความเร่งและผลของแรงลัพธ์ที่ทำต่อวัตถุ ในอินเตอร์เน็ตและหนังสือเรียน

ขั้นสอน
- ศึกษาใบความรู้ใบความรู้
- ทำกิจกรรม การทดลอง
- สอนใน power point
สอนในหนังสือ
อธิบาย บรรยาย
- นำเสนอ
 - สรุปเนื้อหาลงในสมุด
P= Pratice
    1.ให้นักเรียนทุกคนในกลุ่มทำกิจกรรมความเร่งและผลของแรงลัพธ์ที่ทำต่อวัตถุ โดยให้นักเรียน ออกแบบกิจกรรมเอง เพื่อวัดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาที่นักเรียนได้ศึกษา
    2.ครูพร้อมนักเรียนให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เปลี่ยนแปลง เป็น
การเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง เมื่อแรงลัพธ์มีค่าไม่เท่ากับศูนย์กระทำต่อวัตถุวัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งซึ่งมีทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์
   3.ครูและนักเรียนลงข้อสรุป และร่วมกันอภิปราย


ขั้นสรุป
คำถาม
นำเสนอ
ทบทวนความรู้
ยกตัวอย่างประสบการณ์เพื่อเชื่อมโยงกับเนื้อหา
- ใบงาน
- แผนผังความคิด
F= Formative
    -ให้คะแนนของสมาชิกทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนรวมสูงสุด (ในกรณีที่แต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิกไม่เท่ากันให้ใช้คะแนนเฉลี่ยแทน คะแนนรวมจะได้รับคำชมเชย)


5. เขียนคำถามเพื่อให้พัฒนารูปแบบได้


DRU Model คืออะไร
            คือการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
            R คือขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
            U คือการตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
DRU Model ด้านความรู้ (Knowledge) สอดคล้องกับปรัชญาใดบ้าง
        ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism)
        ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism)
DRU Model ด้านผู้เรียน (Learner) สอดคล้องกับปรัชญาใดบ้าง
        ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism)
DRU Model ด้านสังคม (Society) สอดคล้องกับปรัชญาใดบ้าง
        ปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)
หลักการ DRU Modeส มีว่าอย่างไร
         1. หลักปรัชญาการสอน ใช้หลักปรัชญาการสอนตามแนวคิด ทฤษฎีสรรค์นิยม
         2. การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ( learner centered learning) การเรียนรู้โดยใช้การวิจัย เป็นฐานะ และการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (cooperative learning)
         3. การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง (authentic assessment) และกำหนดคุณภาพตามแนวคิด SOLO Taxonomyร่วมกับแนวคิดกำรออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสำกล (Universal Design for Learning and Assessment)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น